วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

European Delight (London Here I Come!!!)






พอตอนเช้าวันที่ 8 พค. ก็ตื่นแต่เช้าตรู่เพราะต้องไปถึงที่สนามบินเวลาประมาณ 7.20 ก็ตื่นตอนตี 5 check out แล้วก็แบกกระเป๋าขึ้นรถไฟ ไป KL Sentral แล้วก็ต่อรถบัสไปสนามบิน ก็ไปถึงเร็วเหมือนกันก็ไป check in แต่ก็พบปัญหาคล้ายๆ ที่กรุงเทพฯ ก็คือว่าน้ำหนักกระเป๋าเกิน ???? ไอ้เราก็งง ไหนเจ้าหน้าที่ที่กทม.บอกว่าขาออกจาก KL เราซื้อน้ำหนักไว้แล้ว แต่ไหงพอมาเช็คที่นี่มันกลับบอกว่าไม่ได้ซื้อซะงั้น ไอ้เราก็งงปนเซ็ง ก็เลยเออๆๆๆๆๆ ซื้อก็ได้ ก็เลยซื้อไปทั้งขาไป และขากลับ โดนไปขาละ 500 บาท ป่อยยยย.... คือถ้าโดนที่ กทม จะโดนแค่ 300 บาท แม่มเอ้ยยยย เซ็ง...เอาๆๆๆๆ ช่างมัน ก็ไปขึ้นเครื่อง

เครื่องที่ไปเป็น Airbus A340 สีดำ ลาย Oakland Raider เท่ห์ไปเลยทีเดียว พอไปขึ้นเครื่อง เริ่มเห็นความซวย...เพราะมีพวกครอบครัวฝรั่งมากับเด็กเล็ก ทารก อะไรเงี้ยะ เต็มเครื่องเลย แล้วมันก็มานั่งใกล้ๆเรา พอเครื่อง takeoff ไป ด้วยที่ว่า flight มันยาวบิน 14 ชม. ต้องแบกน้ำมันไปเยอะ เครื่อง Airbus ถึงแม้มี 4 engines ในส่วนของ performance มันก็ยังสู้ 747 หรือ 777 ไม่ได้ (พูดเข้าข้าง Boeing ตามประสา คนขับ 747 หุ หุ) พอตอน take off ไปเลยรู้สึกได้เลยว่าเครื่องมัน sink ตอนเก็บ gear แล้วก็ดูจะไต่ไม่ค่อยขึ้น แต่ก็เอาเหอะเครื่องมันไหวอยู่แล้ว แต่ไอ้ที่ไม่ไหวเนี่ย คือพวกแก๊งค์เด็กที่อยู่ใกล้ๆ แม่มเอ้ย ร้องกันระงม อย่างกับ Orchestra นี่ไม่อยากนึกสภาพตอนเราอยากจะนอน ว่าจะแย่ขนาดไหน เพราะเราก็อยากนอนบนเครื่องให้เยอะๆ พอไปถึงจะได้ไม่เพลียมากเกินไป จะได้เที่ยวได้สนุกๆ พอนั่งไปซักพักก็หิวๆๆๆๆ ดีนะที่ booked อาหารไว้ ไม่งั้นแย่แน่ แต่ขนาดนั้นก็ยังหิว ก็ต้องซื้อถั่วซื้ออะไรมากิน จะว่าไปที่ air asia เนี่ย มันขายทุกอย่างบนเครื่องเลยยยย จองตั๋วนี่ได้แต่ที่นั่งอย่างเดียว อย่างอื่นเสียตังค์หมด ดีนะที่ห้องน้ำยังเข้าฟรี ถ้าเก็บเงินอีกนี่มีเฮ 555

สรุปก็นอนลำบากเอาเรื่องเหมือนกัน เนื่องจากปัญหาเสียงร้องของพวกเด็กเวรนั่นน่ะแหละ แต่ก็พอหลับได้อยู่บ้าง พอเครื่องจะถึงเราก็เริ่มตื่นเต้น เนื่องจากที่มีปัญหาเถ้าภูเขาไฟบ้าง ไอ้เราก็หวั่นนิดๆ ว่ามันจะมีปัญหารึปล่าว แต่บอกใครไม่ได้ เพราะแฟนเรามันกลัวกว่า เราก็ต้องทำเป็นไม่กลัว พอใกล้ landing เมฆหมอกเต็มเลย ไม่รู้เป็นเมฆจริงหรือว่าเป็นเถ้าถ่านกันแน่ 555 แต่ต่ำๆ ขนาดซัก 5,000 ft คงเป็นเมฆน่ะแหละ หุๆ

พอผ่านเมฆไปก็เห็นทุ่งสีเหลืองๆ ไม่รู้ว่าเป็นดอกอะไร (ตอนหลังรู้ว่ามันคือดอก canola ที่เค้าเอาไว้ทำน้ำมันพืช) ดูสวยดี ก็ถ่ายๆรูปไว้ เห็นภาพ London ครั้งแรกจากมุมสูงก็คุยกับแฟนว่า เฮ้ย...เราถึงอังกฤษแล้ว บ้านเมืองเหมือนใน Harry Potter เลย บรรยากาศดูยุโรปมากๆ ทึมๆ มืดๆ หม่นๆ พอเครื่องลงเราก็รีบออกจากเครื่องมา ถึงแม้จะเข้างวงแต่เราก็ได้สัมผัสอากาศหนาวแรกของอังกฤษที่อากาศประมาณ 12 องศา แถมลมแรงเลยทีเดียว หนาวเอาการ พอเราเอากระเป๋าเสร็จเดินออกมาก็หารถไฟขึ้น เพราะกล้วยขี้เกียจขึ้นรถบัสแล้ว เธอบอกว่ามันช้าไป ใช้เวลาซะเกือบ 2 ชั่วโมง ก็เลยไปรถไฟที่ว่ากันว่าใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง ก็เลยเอาก็เอา ซื้อตั๋วรถไฟ Stansted Express เข้าเมือง แล้วก็ซื้อแค่เที่ยวเดียว เพราะว่าไม่แน่ใจว่าขากลับจะกลับมายังไง....คิดถูกจริงๆ เพราะตอนหลังกลับมาด้วยรถบัส 555

European Delight (Part 1 - In KL)




คืนก่อนวันเดินทางก็ต้องไปจัดการหลายยยอย่าง อีกทั้งต้องตื่นไป check in แต่เช้าเพราะเครื่องออก 7 โมงเช้า นั่นหมายความว่าควรไปถึงสนามบินตั้งแต่ตี 5 ซึ่งก็คือต้องตื่นราวๆตี 3 ครึ่ง เพื่ออาบน้ำแต่งตัว เลยก็ไปค้างบ้านแม่ เพื่อที่จะได้ฝากรถไว้ แล้วโทรเรียก taxi ไปสุวรรณภูมิเหมือนอย่างที่เคยทำปกติเวลาต้องเดินทางไปต่างประเทศแบบนานๆ ตอนเช้าๆ


พอเช้าก็ตาม plan ตื่น แล้วก็เรียก taxi ออกไปสุวรรณภูมิ พอไป check in ก็เจองานเข้าอย่างแรกคือกระเป๋าน้ำหนักเกิน อ้าวววว...เวรแล้วไง ดันซื้อน้ำหนักไว้แค่ 20 กิโล / 2 คน....ซะงั้น กระเป๋าที่จะ load ใต้เครื่องน่ะหนัก 22 kg นี่แค่ขาไปก็กระเป๋าน้ำหนักเกินแล้วเหรอฟระ ก็เลยต้องเปิดกระเป๋า...เอาขาตั้งกล้องที่ตอนแรกกะจะสบายๆไว้ในกระเป๋า ต้องเอาออกมาเสียบเป้เราเพื่อลด น้ำหนัก สุดท้ายก็เหลือ 20 kg นิดๆ เค้าก็เลยโอเค แต่เราก็หนักต้องแบกน้ำหนักเพิ่มบนไหล่อีก 2 กิโล เอ้า..ไม่เป็นไร ประหยัดไปได้น่า จากนั้นด้วยความกังวลของคุณภรรยาก็เลยต้องไปซื้อน้ำหนักเพิ่มขากลับ เพราะเล็งเห็นแล้วว่าจะต้องไปซื้อของกลับมาอีกเพียบเลย ก็เลยได้เสียตังค์ซื้อน้ำหนักอีก 20 โล ตอนขากลับ ไอ้เราก็ไม่แน่ใจว่าขาสองที่ไปจาก KL-UK เราได้ซื้อไว้ป่าว พอให้พนักงานดูเค้าก็บอกว่าซื้อไว้แล้ว ก็เลยโอเค ไม่มีปัญหา จ่ายแค่ขาเดียวคือขากลับ KL-BKK แล้วเราก็เดินเข้าไปที่ gate





พอถึงเวลา boarding ก็ตามระเบียบ พี่หางแดงเค้าต้องนั่ง bus ไปที่เครื่องอยู่แล้ว ขึ้นเครื่องมาก็โอเคนะ ใหม่กิ๊กเชียว แอร์ก็หน้าตาเปรี้ยวจี๊ดเลย ไม่เหมือนแอร์สายการบินเราเลยฟระ ไม่ใช่ไม่สวยนะ แต่ว่าสายการบินเรามันค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ทำผมแต่งหน้าเงี้ยะ อย่ากับ 30 ปีที่แล้วงั้นน่ะ ต้องรวบผม ห้ามทำสี ฯลฯ แต่ที่นี่แบบว่า เต็มที่เลย ปล่อยผมตามสบาย เขียนหน้า เขียนตา ทา eyeliner ฯลฯ แบบเต็มที่ก็เลย ดูดีกว่าอ่ะนะ ทั้งๆที่เวลาใส่ชุดธรรมดาเหมือนกันหน้าตาอาจจะสู้แอร์เราไม่ได้ แต่พอใส่ชุดพนักงานแล้วแต่งหน้าเทียบกันแล้ว หางแดงกินขาด...อ้าวซะงั้น








แล้วเครื่องก็ takeoff จาก SVB ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงในการเดินทางเพื่อไป KLIA สนามบินนี้เราก็เคยบินมาลงเองแล้วสมัยบิน MD ที่บิน Charter ให้กับ Myanmar Airlines Inter (MAI) เมื่อสองสามปีที่แล้ว Traffic Control ที่นี่โอเคเลย แต่พอมาลงแรกๆจะงงกะ taxiway นิดหน่อย ตอนนั้นก็เคยหลงอยู่ทีนึง 555 พอมาลงก็ต้องเดินจากเครื่องผ่านทางเดิน (ที่ไม่ใช่งวง) เป็นระยะทางประมาณ 500 เมตร เพื่อเข้าไปยังตัวอาคาร terminal เป็นครั้งแรกที่ต้องเดินแบบนี้ มันเหมือนเดินเข้าโรงเรียนยังไงไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะมันเป็น low cost terminal มั้งมันเลยมี procedure แปลกๆ








จากนั้นก็ผ่าน ตม. แล้วเอากระเป๋าออกมาก็ใช้เวลาไม่นานก็ลากกระเป๋าออกมาข้างนอก ตอนแรกกะจะนั่งรถไฟเข้าไป แต่ดูแล้วมันไม่ค่อยเวิร์ค เลยตัดสินใจซื้อตั๋วรถบัสต่อเดียวไปลง KL Sentral แล้วค่อยต่อรถไฟฟ้าไปลงสถานีใกล้ๆ โรงแรม ตอนนั่งรถก็โออยู่แหละ แต่พอถึง KL Sentral แล้วมันต้องลากกระเป๋าใหญ่ๆมาขึ้นรถไฟฟ้า ขึ้นลงทางก็กลัวกระเป๋าพังเหมือนกัน แต่ก็เอาวะ มาแนวนี้แล้ว พอขึ้นรถไฟฟ้าไปลงสถานี Putra เพราะว่าตอนแรกที่ดูแผนที่ก็เห็นว่ามันค่อนข้างจะใกล้กับโรงแรม Citrus ที่พัก พอลงสถานี ดูแผนที่ๆพกมาก็เอาแล้ว งานเข้าแล้วไง แผนที่ดันไม่ละเอียดพอ identify position ตัวเองไม่ได้ แล้วก็งง ไม่รู้ว่าต้องเดินทางไหน เหมือนจะใกล้ๆ ก็ถามคน local เค้าก็ไม่รู้ ตายชัก....สุดท้ายก็ต้องพึ่ง Taxi จนได้ โดนไป 5 MYR ก็ประมาณ 50 บาท ก็เอาฟระ ช่างมัน ก็สุดท้ายมาถึงจนได้ จริงๆแล้วก็ไม่ใกล้กับสถานีนั้นเท่าไหร่นักเลย ใกล้สถานีอื่นมากกว่า ซึ่งก็คือสถานี Sultan Ismail พอไป check in ก็งงนิดนึงว่า ตอนจองราคานึง ทำไมตอนจ่ายอีกราคานึง แล้วก็มาถึงบางอ้อ...เพราะว่าตอนจองมันไม่รวม tax T_T ซะงั้นนนนน...เอาวะ นิดหน่อย ก็เอากระเป๋าไปเก็บพักเหนื่อย เสร็จแล้วก็ออกไปข้างนอกเพื่อทำตามแผน





แล้วก็เดินออกมาขึ้นรถไฟฟ้าจากสถานี Sultan Ismail เพื่อขึ้นรถไฟสายสีส้มเพื่อไปลง Masjid Jamex เพื่อต่อสายสีเขียวไปลง KLCC กว่าจะไปถึงก็เวลาประมาณบ่ายสาม ก็หิวมาก เนื่องจากยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันเลย ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าจะไปหาอะไรกินก่อนที่ KLCC ก่อนจะออกไปถ่ายรูปตึก Petronas ที่เป็นตึกที่เคยสูงที่สุดในโลก ซึ่งพอเดินออกจากสถานี KLCC ก็จะโผล่ที่ชั้นใต้ดินตึก Petronas แล้ว ซึ่งข้างล่างมันก็เป็นห้างที่ค่อนข้างใหญ่เหมือนกัน พอๆกับพารากอนทีเดียว





พอออกมาก็เดินหาของกิน สุดท้ายก็ไปจบที่ร้าน Nandos ที่มีไก่ย่างเผ็ดๆ ซึ่งก็เผ็ดสมใจ เราสั่ง Quarter Chicken + French Fried แต่แฟนเราสั่งอะไรก็ไม่รู้ แหลกม่ายล่ายเลย 555 เลยต้องมาสั่ง Quarter Chicken เพียวๆ มากินแก้หิวแทน พอกินเสร็จก็จะออกไปถ่ายรูปตึก ฝนก็ดันมาตกซะงั้น กรรม..... ถ่ายไม่ได้เลย เพราะพอจะถ่ายรูป ฝนก็ตกเปียกหน้าเลนส์ซะ... ไอ้เราก็กลัวป่วยอีกต่างหากก็เลยเดินเข้าไปหากาแฟกินดีกว่า ก็เลยเดินกลับเข้าไปในตัวตึก แล้วไปหากาแฟนั่งกิน ที่ร้าน Coffee Blended เห็นคุณแฟนบอกว่า รสชาติพอโอเคอยู่ แล้วเธอก็รับหน้าที่ไปซื้อ แล้วเธอก็กลับมา...พร้อมกับกาแฟดำ ใส่น้ำเชื่อม ไม่ใส่นม อารมณ์เดียวกับ Americano & Black Coffee น่ะแหละ โอ้วววว....แหลกม่ายล่ายอีกแล้ววววว 555 เลยต้องทำโทษด้วยการถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน ความอัปยศ หุ ๆ





เห็นฝนตกแล้วก็หมดอารมณ์เที่ยวที่อื่น ประกอบกับไม่ได้อยากไปโหดนักที่ KL เพราะพรุ่งนี้ต้องออกแต่เช้า ก็เลยเอาแค่หนึบๆ พอก็เลยอยู่นี่แหละฟระ ถ่ายแค่ที่ Petronas Tower พอกินกาแฟหมดก็เกือบห้าโมงกว่า ก็เลยเดินออกไปข้างนอกเพื่อจะถ่ายรูป ฝนแม่มก็ไม่หยุดตกซะที ก็เอาเว้ย ถ่ายๆไปเหอะ ก็เลยไปเดินถ่ายเล่น ถ่ายไปๆมาๆ ฝนก็หยุด ก็เลยได้ตั้งกล้องถ่ายซะที พอเวลาประมาณหกโมงกว่า ก็กลับที่พักแล้ว เพราะว่าอยากพักผ่อนมากกว่าเพราะพรุ่งนี้ท่าจะเหนื่อยเอาเรื่อง ก็เลยนั่งรถไฟกลับ





สรุปวันนี้มา KL ได้เรื่องได้ราวอยู่ที่เดียวที่ Petronas Tower แต่เอาหล่ะ....ไม่เป็นไร ได้มาเที่ยวที่นี่ถือว่าเป็น Bonus อยู่แล้วเพื่อรอต่อเครื่อง เที่ยวน้อยหน่อยไม่เป็นไร ก็สบายใจกลับโรงแรม ไปเข้าเน็ท แล้วเข้านอน เพื่อวันรุ่งขึ้นเดินทางต่อ

European Delight Trip (Preflight)




Trip นี้เริ่มต้นการวางแผนอย่างเป็นทางการเมื่อประมาณสิงหาฯปีที่แล้ว เนื่องจากเป็นดำริของท่าน ผบ. ว่าอยากไปเที่ยวยุโรปก่อนจะวางแผนการมีทายาท ทำให้เราก็ต้อง...เออ...ลองดู ลองหาก็ได้ฟระ ก็ลองเช็คราคาดู


ตอนแรกก็ดู Austrian Airlines ที่ไปลงที่เวียนนา ราคา 20,000 โดยประมาณ แต่ปัญหามันก็คือว่ามันดันไม่ยอมให้จองแบบยาวๆ (เพราะจริงๆแล้ว ผม plan จะไปช่วง พฤษภา - มิถุนา 2010 แต่ตอนนั้นมันประมาณว่า ล่วงหน้าเกือบ 10 เดือน ก็เลยลองเช็คที่อื่น


แล้วก็เหมือนโชคช่วย...มีคนส่งเมล์มาให้ว่า Air Asia มี promotion 1 ล้านที่นั่ง ก็เลยเข้าไปดู....และแล้วก็ได้พบว่าหางแดงบินไปลอนดอนด้วย และลองเช็คดูพบว่าตั๋วเครื่องบินจาก KL ไปลอนดอน Stansted Airport 2 คน ราคาตกอยู่ที่ 2,946 MYR (ประมาณ 29,460 บาท) บวกกับค่าตั๋วจาก BKK ไป KL สองคน อยู่ที่ 4,036 บาท รวมแล้วก็ประมาณสามหมื่นสาม ต่อ 2 คน ตกๆแล้วก็คนละหมื่นหกกว่าๆ แล้วไปลงลอนดอน ด้วยก็เลย 555 เข้าทาง จองซะ...บัตรเครดิตอีกแล้ว และ ตั๋วนี้ก็กลายเป็นของขวัญวันเกิดภรรยาที่เคารพไปโดยปริยาย ^^


โดยสรุปว่าการจองครั้งนี้ได้วางแผนว่าจะเดินทางจาก กทม. วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม ตอนเช้า เวลา 7:10 น. ไปถึง KL ตอน 10.15 น. แล้วก็อยู่เที่ยว KL ซักวันนึง และออกเดินทางจาก KL วันเสาร์ที่ 8 พค. เวลา 9.20 น. และไปถึง Stansted วันเดียวกัน เวลา 16.20 น. local time. ส่วนขากลับก็เลือกออกจาก london วันเสาร์ที่ 22 พค. เวลา 17.50 น. ไปถึง KL วันอาทิตย์ที่ 23 พค. เวลา 13.50 น. local time เสร็จแล้วเนื่องจากความกลัวการ Delay ของพี่หางแดง ก็เลยยอมนั่งรอที่สนามบินประมาณ 7 ชั่วโมง (ถ้าเครื่องไม่ delay) เพื่อออกจาก KL อีกทีตอน 20.55 น. และกลับถึง กทม. เวลา 21.55 น. local time


พอถึงวันเกิดแฟน เอาให้ก็ดีใจใหญ่ แต่ช้าก่อน เจ้าต้องช่วยข้า plan นะ เดี๋ยวจะไม่ถูกใจไปแล้วจะมาบ่น 555 เจ๊แกก็ยอม ก็เลยโอเค เริ่ม phase planning ต่อไป


ช่วงเวลากว่า 10 เดือนนั้นก็ใช้เวลาจริงๆไม่นานในการ plan เนื่องจากความชิว 555 สรุปสุดท้าย itinerary ในการเดินทางก็คือ


จะว่าไปก็ต้องขอบคุณ Yahoo Trip Planner นะเนี่ย ที่ช่วย plan trip ได้อย่างครอบคลุมเลยที่เดียว


พอช่วงใกล้ๆ ลุ้นแทบแย่ ตอนแรกก็กลัวจะขอ visa ไม่ทัน ดันชิวเกิน ไปขอประมาณช่วงกลางเดือนมีนาฯ แล้วมันดันไป overlap กะช่วงเข้า SIM คือถ้าไม่ได้ visa ไปอังกฤษ ทันเวลา ก็อดไปเข้า SIM โชคดีที่ได้ทัน อันนี้รอดไปหนึ่ง พอจะขอ visa เข้ายุโรปประเทศอื่น ช่วงนั้นมันก็เริ่มชุมนุมพอดี แถมใกล้ๆช่วงสงกรานต์ เสียวอีกประมาณนึงว่าจะได้ไม่ทัน เพราะตอนแรกไปเช็คที่สถานทูตอิตาลี มันบอก 20 วันทำการ กว่าจะได้ VISA ก็ตกเครื่องพอดี ก็เลยต้องไปขอที่อื่น แล้ว modify trip plan เอา ก็เลยได้มา


พอได้ VISA ครบ ดันมามีภูเขาไฟระเบิดที่ Iceland อีก กรรม... ปิดสนามบินกันไปเป็นอาทิตย์ ตอนนั้นก็ลุ้นว่าเฮ้ย...อย่ายาวนะเฟ้ย เดี๋ยวอด ช่วงนั้นเรื่องอื่นไม่สนแล้ว สนแต่ข่าวภูเขาไฟ พอปลายๆ เมษาฯ ก็เปิด ก็โล่งใจนิดนึงว่าเออ คงรอด สองวันก่อนไปควันภูเขาไฟก็มาอีกแล้ว...เอาอีกแล้วตรู จะรอดมั้ยฟระ สนามบินที่ไอร์แลนด์ปิด สนามบินที่สก๊อตแลนด์ปิด สนามบินตอนเหนือของอังกฤษปิด...งามไส้แล้วมั้ยละ นึกว่าโดนอีกแล้วววววว....ยังดีที่ลมเปลี่ยนทิศ และมีมาตราการใหม่มาช่วยทำให้สนามบินที่ลอนดอนเปิดบริการได้อยู่เฮ้อออ...ลุ้นเหนื่อยกว่าจะมาได้

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

What is the charter flight (ชาร์เตอร์ไฟล์ทคืออะไรฟะ)

ชาร์เตอร์ไฟล์ท คือ การที่ใครก็ตาม(ในที่นี้หมายถึงองค์กร หรือ สายการบินใดๆ) มาจ้างเรา(ในที่นี้หมายถึงสายการบินที่เราทำงานอยู่) เพื่อไปทำการบินในที่ต่างๆ โดยลักษณะ charter flight นี้มักจะเป็นการทำแบบที่เรียกว่า wet lease หรือ เป็นการเช่าเครื่องพร้อมนักบิน หรือ อาจรวมไปถึงลูกเรือ cabin crew เพื่อไปทำการบินในเส้นทางต่างๆ ลักษณะของการบิน charter flight ที่พบได้เป็นดังนี้
  1. สายการบินในประเทศหรือต่างชาติมาเช่าสายการบินเราเพื่อไปบินในเส้นทางต่างๆ ทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ เช่น ผมเคยไปบินให้กับทางสายการบินพม่าเพื่อทำการบินเส้นทาง BKK-RGN(ย่างกุ้ง)-KUL(กัวลาลัมเปอร์)-RGN-BKK เป็นต้น โดยการบินแบบนี้สามารถแบ่งได้เป็นระยะสั้น และ ระยะยาว โดยที่ระยะสั้นก็อาจจะเป็นสั้นๆ เพียง 2-3 เดือน เช่นในช่วง ตุลาฯ-มกราฯ ที่เป็นช่วง Hajj ที่สายการบินต่างๆ ในโลกอิสลามจะมีการจ้างสายการบินอื่น ไปบิน Hajj flight จากประเทศต่างๆ นั้นเช่น จาก JKT-JED เป็นต้น ส่วนที่เป็นระยะยาวก็เป็นในกรณีที่พวกสายการบินเปิดใหม่ หรือ มีเส้นทางการบินใหม่ที่ไม่สามารถจัดหาเครื่องบินมาได้ทันที ก็เลยมีการติดต่อกับสายการบินอื่น เพื่อว่าจ้างมาบิน
  2. มีองค์กรมาจ้างให้ไปบินเส้นทางพิเศษ (เช่น UN charter flight) เพราะทาง UN มีหน่วยทหารเป็นอยู่ประจำตามประเทศต่างๆทั่วโลก เช่น ไนจีเรีย, เคนยา ฯลฯ

A charter airline, also sometimes referred to as an air taxi, operates aircraft on a charter basis, that is flights that take place outside normal schedules, by a hiring arrangement with a particular customer. These flights are often more expensive, but allow the customer the convenience of flying at a more suitable time. Most scheduled airline companies also operate charter flights but are not considered or classified as charter airlines.
In the context of mass
tourism, charter flights have acquired the more specific meaning of a flight whose sole function is to transport holidaymakers to tourist destinations. Such charter flights are contrasted with scheduled flights, but they do in fact operate to regular, published schedules. However, tickets are not sold directly by the charter airline to the passengers, but by holiday companies who have chartered the flight (sometimes in a consortium with other companies).
Although charter airlines typically carry passengers who have booked individually or as small groups to beach resorts, historic towns, or cities where a
cruise ship is awaiting them, sometimes an aircraft will be chartered by a single group such as members of a company, a sports team, or the military.
Many charter flights are sold as part of a
package holiday in which the price paid includes flights, accommodation and other services. At one time this was a legal requirement (or one enforced by the airlines' cartel), but this is no longer the case, and so-called "flight-only packages" can be bought by those who merely want to travel to the destination. Such packages are frequently cheaper than regular schedule airline fares. Furthermore charter airlines frequently operate on routes, or to airports, where there is no scheduled service. Much of the traffic through small and medium sized airports in the United Kingdom consists of charter flights, and the survival of these airports often depends on the airline landing fee they get from the charter companies.
Many airlines operating regular scheduled services (i.e., for which tickets are sold directly to passengers) have set up charter divisions, though these have not always proved competitive with the specialist charter companies. In addition, some
cargo airlines occasionally carry a few charter passengers on their jets. Conversely, some charter airlines have branched out into scheduled services when their charter operations have uncovered a need or a market niche.
The economics of charter flights demand that the flights should operate on the basis of near 100% seat occupancy.
The airlines operating charter flights, and the holiday companies who are the initial purchasers of seats on them, have acquired an unhealthy reputation for financial instability. There have been a number of high-profile cases where holiday-makers, mostly with European charters, have had their arrangements cancelled at short notice (and sometimes lost the substantial sums they have paid for package holidays), or have been left stranded at their destinations, by the collapse of the airline or holiday company. A number of compulsory
insurance and bond arrangements have been put in place to minimize at least the financial risk to the public from such events

reference: http://en.wikipedia.org/wiki/Charter_flight